VELOCITA : ROME V - Bi Wire Speaker Cable
ROME V : สายลำโพง "ROME V" เป็นสายลำโพงไฮเอ็นด์ "รุ่นท็อป" ของ VELOCITA ใช้ตัวนำแกนเดี่ยวระดับซูเปอร์พรีเมี่ยมแบบ Single Crystal Copper ความบริสุทธิ์สูง หน้าตัดขนาดใหญ่ พร้อมโครงสร้างลดทอนสัญญาณรบกวนอันเป็นเอกสิทธิ์ ได้แก่ Grand Spiral Concentric จากการตีเกลียวตัวนำจำนวน 12 เส้น ล้อมรอบตัวนำแกนกลางภายในท่ออากาศ พร้อม High-quality Non-magnetic metal shell BFA Banana ให้การเสียบต่อกระชับแน่น เพื่อการถ่ายทอดสัญญาณเสียงสมบูรณ์แบบ เสริมศักยภาพแก่ซิสเต็มเครื่องเสียงให้ ถ่ายทอดอารมณ์แห่งดนตรี และเปิดเผยบรรยากาศมิติ เวทีเสียง ไร้การประนีประนอม ให้สมดุลเสียงที่ถูกต้อง ยกระดับให้ลำโพงของท่านสามารถแสดงประสิทธิภาพสูงสุด ดังสโลแกนที่ว่า "UNLEASH THE ULTIMATE" หรือ"ปลดปล่อยศักยภาพออกมาอย่างหมดจด"
A. Single Crystal Copper (SCC) : ตัวนำระดับซูเปอร์พรีเมี่ยมอย่าง "Single Crystal Copper" หรือ "ทองแดงผลึกเดี่ยว" ผ่านกระบวนการวิศวกรรมที่ยากและซับซ้อนกว่า เพื่อที่จะทำให้คุณสมบัติของตัวนำมี "ความบริสุทธื์เหนือบริสุทธิ์" กล่าวคือมีความบริสุทธิ์ที่สูงมาก สูงกว่าตัวนำประเภท Oxygen Free Copper, Bare Copper หรือ Tinned Copper ที่มักใช้ในสายลำโพงทั่วไปหลายเท่านัก (ระดับราคาจึงสูงตาม) หากให้เปรียบตัวนำเป็นพื้นผิวถนน Single Crystal Copper คงเปรียบเปรยได้กับ "ลานไอซ์สเกต" ที่พื้นผิวให้ความเรียบและลื่นไหลได้ดี ในขณะที่ทองแดงทั่วไปก็เปรียบเฉกเช่น "ถนนปูน" ซึ่งดูเหมือนเรียบก็จริง แต่ก็มิอาจเทียบชั้นความลื่นไหลเท่า ดังนี้ตัวนำแบบ Single Crystal Copper ทำให้สัญญาณเสียงส่งผ่านได้อย่างราบรื่น ปราศจากการสูญเสียระหว่างการนำสัญญาณ จึงถ่ายทอดคุณภาพเสียงออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ สมดุลเสียงยอดเยี่ยม ช่วยเผยศักยภาพที่แท้จริงของลำโพงของท่านได้
B. Grand Spiral Concentric : การออกแบบโครงสร้างภายในสายอันเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ VELOCITA Cable เท่านั้น โดยการแบ่งเป็นกลุ่มตัวนำเป็นตัวนำแกนเดี่ยวขนาดใหญ่ที่ศูนย์กลาง 1 ตัวนำ หุ้มด้วยหลอด Air Tube สุญญากาศ รายล้อมด้วยตัวดำแกนเดี่ยวขนาดใหญ่แบบ "บิดเกลียว" (Spiral) อีกถึง 12 ตัวนำ รวมเบ็ดเสร็จทั้งสิ้นเท่ากับ 13 ตัวนำ Single Crystal Copper แบบแกนเดี่ยว (Single Wire = 13x2 และ BiWire = 13x4 ) ซึ่งนอกจากช่วยส่งเสริมความสามารถในการนำสัญญาณให้ดีขึ้นตามหลักการ "Synergistic Effect" หรือหลักการ "ทวีคูณประสิทธิผล" ครั้นยังช่วยป้องกันสัญญาณรบกวนได้อีกทาง ด้วยหลักการออกแบบโครงสร้างภายในแบบพิเศษเช่นนี้ จึงทำให้สายลำโพง ROME V สามารถนำสัญญาณได้ดี มีความแม่นยำ ถ่ายทอดเสียงได้อย่างทรงพลัง ช่วยเพิ่มอรรถรสไม่ว่าจะดูหนังหรือฟังเพลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ
C. Solid Core Conductor : สายลำโพง VELOCITA ในอนุกรม ROME ทุกรุ่นจะใช้ตัวนำแบบ "แกนเดี่ยว" หรือว่า "Solid Core" เท่านั้น ด้วยคุณสมบัติของตัวนำแกนเดี่ยวที่มีขนาดใหญ่พิเศษ จะช่วยป้องกันการรบกวนของสัญญาณที่มักเกิดขึ้นกับพื้นผิวของตัวนำที่พันและสัมผัสกันเองของสายฝอย หรือ Strand Interaction ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของเสียงพื้นหลังที่ไม่เงียบสนิท ซึ่งตรงข้ามกับการใช้ตัวนำแบบแกนเดี่ยวที่จะช่วยให้เสียงพื้นหลังเงียบสงัด มิติเสียงจึงชัดเจนและเปิดกังวานมากยิ่งขึ้น รวมถึงการใช้ขนาดตัวนำที่ใหญ่เท่ากันทุกตัวนำเพื่อรักษาสมดุลเสียงอันถูกต้องเสมือนจริง ปราศจากการปรุงแต่งหรือปรับจูนให้เสียงย่านใดย่านหนึ่งเอ่อล้นออกมามากเป็นพิเศษ
D. Gold Plated Banana Plug : หัวขั้วต่อแบบ Banana เคลือบทอง 24K ให้สมดุลเสียงที่ถูกต้อง มีความอิ่มเอิบในทุกๆย่าน นอกจากนี้การเคลือบทองที่หัว Banana ยังช่วยลดการเกิดออกไซด์บนผิวสัมผัสของหัวขั้นต่อ Banana ด้วย อนึ่งขั้นต่อ Banana ของสายลำโพงในอนุกรม ROME เป็นแบบ BFA Banana หรือแบบปากฉลาม เข้าหัวแบบยึดล็อค ปราศจากการบัดกรี เพื่อรักษาคุณภาพการนำสัญญาณไว้ให้สูงสุด เมื่อเชื่อมต่อใช้งานจริงกับขั้วเสียบหลังลำโพงจะแน่นกระชับ พื้นผิวสัมผัสเต็มเปี่ยม เพื่อการรับ-ส่งสัญญาณเสียงที่มิขาดตกบกพร่อง
E. Finest Metal Shell : เคสจับทำจาก "โลหะ" ต่างจากสายลำโพงทั่วไปที่ลดต้นทุนด้วยการใช้ท่อหดซึ่งมีวัสดุเป็นยางหรือไม่กระนั้นก็เป็นเคสพลาสติก นอกเหนือจากความสวยงามแล้ว ด้วยวัสดุโลหะที่มีคุณสมบัติไม่เหนี่ยวนำแม่เหล็กหรือ "Nonmagnetic" ก็จะช่วยป้องกันสัญญาณรบกวนจากภายนอกได้อีกทางหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นแค่รายละเอียดเล็กน้อย ทว่าความพิถีพิถันในการเลือกใช้วัสดุจะช่วยส่งผลบวกต่อคุณภาพของเสียงที่ออกมา
F. Bi-Wiring : การเพิ่มตัวนำเป็น 2 เท่านั่นหมายถึงคุณภาพก็ย่อมเพิ่มขึ้นอีก 2 เท่า VELOCITA ROME V และ I มีตัวเลือกให้ท่านเลือกทั้งแบบ Single Wire เพื่อความยืดหยุ่นในการใช้งาน และรวมถึง Bi-Wire เพื่อประสิทธิภาพอันสูงสุด โดยประโยชน์ของสายลำโพงแบบ Bi-Wire คือการแยกการนำสัญญาณเสียงในย่านความถี่สูง (Treble) และ ต่ำ (Bass) ออกจากกันอย่างอิสระ สัญญาณมิได้ส่งผ่านรวมกันอยู่ในเส้นเดียวอีกต่อไป ส่งผลให้รายละเอียดและการจำแนกแจกแจงเสียงในย่านความถี่ดังกล่าวมีความชัดเจนขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
